เมื่อคนเราอายุมากขึ้นการดูแลตัวเองยิ่งเป็นเรื่องสำคัญกว่าที่เคยเพราะอะไรๆ ก็คงไม่เหมือนตอนอายุน้อยๆอีกต่อไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทานอาหาร การออกกำลังกาย การทำหัตถการและบางรายอาจต้องจัดการปัญหาโรคประจำตัวด้วยในเวลาเดียวกัน นำมาซึ่งประเด็นสำคัญในบทความนี้ กล่าวคือสำหรับปู้ที่มโรคประจำตัวการทำหัตถการไม่ว่าจะแบบใดก็ตามนั้นมีผลข้างเคียงที่อาจสร้างปัญหาตามในในภายหลังหรือไม่ ?
หัตถการเกี่ยวกับความอ่อนเยาว์อย่างโบท็อกซ์หรือการทำ ultraformer เพื่อยกกระชับส่วนที่ไม่สามารถสร้างคอลลาเจนมาทดแทนนั้นเป็นอีกหนึ่งหัตถการที่สำคัญสำหรับการมอบสิ่งที่เป็นตัวยืดความอ่อนเยาว์ไว้ได้เป็นอย่างดี แต่กรณีที่มีโรคประจำตัวอาจจะต้องระมัดระวังหลายปัจจัยด้วยกัน
โรคเกี่ยวกับสุขภาพร่างกายโดยรวมกับการทำ ultraformer
Ultraformer นั้นเป็นเทคโนโลยียกกระชับผิวหน้าโดยใช้คลื่นเสียงความถี่สูง (HIFU) ทำงานโดยส่งพลังงานคลื่นเสียงลงไปใต้ผิวหนังชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นกล้ามเนื้อที่ยึดเกาะผิวหนังไว้ด้วยกัน เมื่อพลังงานคลื่นเสียงเข้าไปถึงชั้น SMAS จะทำให้เส้นใยคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ผิวหนังเกิดการหดตัวและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ส่งผลให้ผิวหน้ายกกระชับ เรียบเนียน แลดูอ่อนเยาว์
โดยทั่วไปแล้ว Ultraformer เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ผิวไม่กระชับ ริ้วรอย ร่องลึก รอยเหี่ยวย่น ผิวขาดความยืดหยุ่น เป็นต้น อย่างไรก็ตาม มีข้อควรระวังสำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัวบางชนิด ดังนี้
- โรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดสมอง โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ เป็นต้น
- โรคมะเร็ง เช่น มะเร็งผิวหนัง มะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งต่อมน้ำเหลือง เป็นต้น
- โรคแพ้ภูมิตัวเอง เช่น โรคลูปัส โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ โรคเบาหวานชนิดที่ 1 เป็นต้น
- โรคผิวหนัง เช่น โรคสะเก็ดเงิน โรคผิวหนังอักเสบ โรคภูมิแพ้ผิวหนัง เป็นต้น
- โรคติดเชื้อ เช่น โรคเอชไอวี โรคตับอักเสบ โรคซิฟิลิส เป็นต้น
โรคเกี่ยวกับสุขภาพจิตใจกับการทำ ultraformer
นอกเหนือจากโรคสุขภาพทั่วไปแล้ว โรคเกี่ยวกับจิตใจก็มีส่วนสำคัญที่ควรพิจารณาก่อนการทำ ultraformer บางคนอาจเลี่ยงที่จะทำเพราะ ultraformer รีวิวยังไม่เยอะมากในเรื่องของผลกระทบส่วนนี้ อย่างไรก็ตามเราจะมาเปิดเผยสิ่งที่ควรรู้ว่าสภาพจิตใจแบบไหนที่ไม่เหมาะกับการทำหัตถการประเภทนี้
โรคทางจิตเวช เช่น โรคจิตเภท โรควิตกกังวล โรคซึมเศร้า อาจส่งผลต่อการตัดสินใจและการควบคุมอารมณ์ของผู้ป่วยได้ การทำ Ultraformer เป็นการรักษาที่ต้องใช้ระยะเวลาในการฟื้นตัวประมาณ 1-2 สัปดาห์ ผู้ป่วยอาจมีอาการบวม แดง และระคายเคืองบริเวณที่ทำการรักษา ซึ่งอาจทำให้ผู้ป่วยเกิดความเครียด วิตกกังวล หรือซึมเศร้ามากขึ้นได้
นอกจากนี้ ผู้ป่วยโรคทางจิตเวชบางรายอาจรับประทานยาบางชนิด เช่น ยารักษาโรคจิตเภท ยารักษาโรควิตกกังวล ยารักษาโรคซึมเศร้า เป็นต้น ซึ่งอาจส่งผลต่อผลลัพธ์ของการรักษาด้วย Ultraformer ได้ดังนั้น ผู้ป่วยโรคทางจิตเวชควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนทำ Ultraformer เพื่อให้แพทย์ประเมินความเสี่ยงและวางแผนการรักษาที่เหมาะสม
ต่อไปนี้เป็นรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลกระทบของโรคทางจิตเวชต่อการทำ Ultraformer
- โรคจิตเภท เป็นภาวะทางจิตที่ผู้ป่วยมีความคิด ความเชื่อ ความรู้สึก และพฤติกรรมที่แปลกแยกจากความเป็นจริง การทำ Ultraformer อาจทำให้ผู้ป่วยเกิดความเครียด วิตกกังวล หรือซึมเศร้ามากขึ้นได้ เนื่องจากผู้ป่วยอาจไม่เข้าใจหรือยอมรับผลลัพธ์ของการรักษาได้
- โรควิตกกังวล เป็นภาวะที่ผู้ป่วยรู้สึกวิตกกังวลหรือกลัวมากเกินไป ผู้ป่วยโรควิตกกังวลอาจมีอาการ เช่น ใจสั่น หายใจถี่ เหงื่อออก มือสั่น คลื่นไส้ ท้องผูก เป็นต้น การทำ Ultraformer อาจทำให้ผู้ป่วยเกิดความวิตกกังวลมากขึ้น เนื่องจากผู้ป่วยอาจกังวลเกี่ยวกับผลลัพธ์ของการรักษาหรือกังวลว่าจะเกิดผลข้างเคียงขึ้นได้
- โรคซึมเศร้า เป็นภาวะที่ผู้ป่วยรู้สึกเศร้า เบื่อหน่าย หมดหวัง เหนื่อยล้า ขาดความสนใจในกิจกรรมที่เคยทำ ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าอาจมีอาการทางกายภาพ เช่น นอนไม่หลับ เบื่ออาหาร น้ำหนักขึ้นหรือน้ำหนักลง เป็นต้น การทำ Ultraformer อาจทำให้ผู้ป่วยรู้สึกซึมเศร้ามากขึ้น เนื่องจากผู้ป่วยอาจไม่พอใจกับผลลัพธ์ของการรักษาหรือกังวลว่าจะเกิดผลข้างเคียงขึ้นได้
การมีโรคประจำตัวไม่ว่าจะเป็นโรคประจำตัวแบบใดก็ตามนั้นสามารถเลือกทำ ultraformer ได้หากผ่านการปรึกษาและขอตำแนะนำจากแพทย์อย่างละเอียดแล้ว อย่างไรก็ตามสำหรับผู้ที่มีอาการระดับรุนแรงอาจจะต้องรอให้อาการทรรเทาลงก่อนจะปลอดภัยต่อสุขภาพที่สุด และเพื่อให้การทำหัตถการใดๆ ไม่มีผลข้างเคียงตามมาในภายหลัง